วันอังคารที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

[Fanfiction #รองแปด] Since Then -01-

Since Then -01-


Pairing : จางฟู่กวาน X ฉีเถียจุ่ย


Note : ติดซีรีย์และกาวคู่นี้มากมายเลยข่ะ ดำเนินเนื้อเรื่องของคู่นี้ตามซีรีย์เก้าสกุลนะคะ แต่เฉพาะคู่นี้ค่ะ ของพ่อพระไม่ตรงแน่ๆ ๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕

ชื่อตัวละครได้มาจากแท็กในทวิตนะคะ 
ชื่อรองผู้การเราให้เครดิตแด่คุณ  (https://twitter.com/kirahime_iero/status/751349426333949953) เต็มๆเลยค่ะ ขออนุญาตมาไว้นะที่นี้ด้วยนะคะ

ป.ล. กาวเต็มเรื่องมากมายเลยค่ะ.... 

E.P. 00

เนื้อหาเกี่ยวกับ ชาย ชาย นะคะ ถ้าไม่ชอบแนะนำให้กดออกไปเลยค่ะ 






--------------------------------------------------------------------------------


บรรยากาศอันมืดมัวแถมยังดูวังเวงประหนึ่งอยู่ในสุสานนั้น ไม่ได้ทำให้รองผู้การจางเกิดความกลัวขึ้นแต่ประการใด อาจจะเป็นเพราะคุ้นชินกับการติดตามผู้เป็นนายไปไหนมาไหนตลอดเวลา ทั้งเวลาลงดินก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เคยเจอเรื่องประหลาดอะไร


แม้รอบกายจะเต็มไปด้วยซากศพมากมาย แต่กระนั้นเจ้าของก้าวเดินก็ยังคงเดินด้วยฝีเท้าและน้ำหนักที่ลงอย่างสม่ำเสมอสมกับที่เป็นทหาร จนกระทั่งถึงจุดที่เจ้าบ้านแปดและเจ้านายของตนกำลังยืนคุยกันอยู่ ตนก็โผล่เข้าไปพร้อมกับหน้ากากกันอากาศพิษสองอันทันที


แม้จะไม่ได้ร่วมวิเคราะห์โลงศพทั้งหลายนั้นกับหมอดู แต่นายทหารก็พึงระลึกได้ว่าด้านในคงไม่ธรรมดา ดังนั้นจึงไปหยิบของมาไว้เผื่อต้องพบเจอกับอากาศพิษที่มักจะมาอยู่ในกลไกต่างๆเพื่อป้องกันสิ่งที่อยู่ในนั้น


ผมหาหน้ากากกันพิษได้แค่สองอัน” รองผู้การเอ่ยบอก พร้อมกับมองดูเจ้าสิ่งของในมือ ซึ่งพ่อพระใหญ่จางนั้นเพียงเปรยตามองและเอ่ยปาก


พวกนายสองคนก็ใส่ซะ” กล่าวจบก็ทำท่าจะก้าวเข้าไปยังรถไฟขบวนสุดท้าย


หา? นี่พ่อพระดูถูกกันใช่ไหมเนี่ย ตู้ก่อนหน้านี้ฉันไม่ได้ใส่ แล้วทำไมตู้สุดท้ายทำไมฉันต้องใส่ด้วย” บัณฑิตหนุ่มโวยวาย “มันไม่จำเป็นหรอกน่า”


คนฟังหันมองหน้ากันก่อนที่ผู้เป็นนายจะเอ่ยบอกกับนายทหารที่ถือของในหน้ากากกันพิษในมือ


งั้นเราใส่กัน”


ครับ” พูดจบก็ส่งหน้ากากให้เจ้านาย แต่กระนั้นเสียงโวยวายของเจ้าบ้านแปดก็ดังตามมา


เอ๋ เอ๋ เอ๋? เดี๋ยวสิ ฉันยังไม่ได้บอกเลยว่าจะไม่ใส่ ให้ตายสิพ่อพระ ทำไมท่านไม่เข้าใจคนที่จะเล่นมุกอะไรเลย”


....” คนฟังไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่รับหน้ากากแล้วก้าวเดินต่อไปข้างหน้าเท่านั้น


พ่อพระ” เจ้าบ้านแปดเรียกอีกครั้งเมื่อเห็นอีกฝ่ายเดินออกไปแล้ว ก่อนที่นัยน์ตาคู่สวยจะตัดมามองผู้รองที่กำลังยืนมองหน้ากากกันพิษในมือตัวเองอยู่ แล้วคว้ามาซะเอง “เอามานี่ ส่วนนายน่ะอยู่ตรงนี้แหละ ฉันจะเข้าไปกับพ่อพระเอง”


คนโดนสั่งอดไม่ได้ที่จะหันไปมองอีกฝ่าย และก็พบว่าหมอดูนั้นกำลังให้ความสำคัญกับหน้ากากกันพิษตรงหน้าก็เลยไม่ได้มองดูสายตาว่าถูกจ้องมองอย่างขบขันบางๆ ก่อนที่รองผู้การจะหันไปทางด้านที่ผู้เป็นนายของตนเพิ่งเดินไป



.


.


.



.



กว่าที่ทหารทั้งหลายจะได้รับคำสั่งให้เข้าไปด้านในของขบวนรถไฟนั้น พ่อพระใหญ่จางก็เจอกับสิ่งที่เรียกได้ว่าเป็นเบาะแสของเจ้ารถไฟปริศนาขบวนนี้


นายทหารหลายนายถูกส่งเข้าไปยังขบวนสุดท้าย รวมถึงจางฟู่กวานที่ยืนรออยู่บริเวณด้านทางเข้าขบวนสุดท้ายอีกด้วย ศพหลายศพและโลงจำนวนมากถูกเปิดออกเพื่อสำรวจเจ้าสิ่งที่อยู่ข้างใน


ถึงแม้ว่าสภาพของมันจะดูน่ากลัวเพียงใด แต่กระนั้นก็ไม่ได้ทำให้นายทหารจากบ้านตระกูลจางทั้งหลายเกิดความตื่นกลัวขึ้นมาได้เลย


บรรดานายทหารทั้งหลายได้แต่ยืนมองผู้เป็นนายและเจ้าบ้านแปดสนทนากันเรื่องปริศนาของรถไฟนี้ จนกระทั่งได้ข้อสรุปว่า สิ่งที่น่าสงสัยที่สุดนั้นเป็นภาชนะบรรจุศพขนาดใหญ่ที่ถูกขนย้ายมาด้วย เนื่องจากเป็นสิ่งที่ต้องใช้กลไกในการเปิด นั่นเองที่ทำให้ต้องขนย้ายเจ้าสิ่งนั้นไปยังบ้านตระกูลจาง พรัอมกับการจัดเตรียมผู้ที่มีฝีมือในตระกูลมาทำการเปิดโลงศพนี้


ยามเมื่ออุปกรณ์ทั้งหลายถูกเข้าสู่กระบวนการติดตั้งบวกกับบรรยากาศแปลกๆที่รายล้อมไปด้วยโลงไม้จำนวนและนายทหารผู้ยืนอยู่อย่างเป็นระเบียบ


“เตรียมพร้อม” ฝอเหยียเอ่ยคำสั่ง ทำให้ผู้เป็นบัณฑิตที่ไม่เคยเห็นการกระทำแบบนี้ก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามขึ้นมา


“ฝอเหยีย ทหารประจำตระกูลของท่าน...”


“เขาจะทำได้ไหม?”


“เออ...ดูเขาสิ... รูปร่างกำยำ ใบหน้าคมคาย..” คำพูดยกยอนั่นเองที่ทำให้รองผู้การถึงกับต้องหันไปมองคนพูดอย่างไม่เชื่อหู “เขาต้องมีความสามารถมากแน่ บ้านสกุลจางแห่งฉางซา”


ซึ่งจางฟู่กวานก็ได้แต่ฟังแล้วก็มองอีกฝ่ายอย่างปลงตกเท่านั้น คนอะไรช่างยกยอปอปั้นได้เก่งจริงๆ ความคิดนั้นแฝงด้วยความไม่พอใจนิดๆโดยที่ไม่รู้ตัว ก่อนที่จะหันไปมองเหล่าทหารที่กำลังยุ่งกับการเตรียมขึ้นตอนทั้งหลายอยู่


ยามที่กรรไกรผีเสื้อถูกง้างออก นั่นก็ทำให้เจ้าบ้านแปดอดไม่ได้ที่จะรู้สึกสนใจขึ้นมา


“โอ้..ช่างไม่ธรรมดาเลยจริงๆ กรรไกรผีเสื้อนั้นถูกยึดไว้เหนือโลง..” ชี้ไปยังอุปกรณ์นั่นพลางเอ่ยถาม “ท่านคงไม่ได้คิดที่จะ...”


“เชือกที่ขึงกับกรรไกรจะผูกกับตัวม้า เมื่อมีสิ่งใดไม่ชอบมาพากลกับการเปิดนี้ นายทหารที่รับหน้าที่ตีฆ้องจะทำการตีฆ้อง เพื่อเป็นสัญญาณทำให้ม้ากระตุกเชือกนั้นทันที ทำให้กรรไกรใบมีดหุบ จะตัดแขนทหารนายนั้นอย่างรวดเร็ว เพื่อเป็นการรักษาชีวิตคนผู้นั้น” จางฟู่กวานอธิบายแทนผู้เป็นนาย นั่นเองที่ทำให้คนที่เพิ่งเคยเจอเหตุการณ์แบบนี้ครั้งแรกนั้นอดไม่ได้ที่จะตกอกตกใจ


“ให้ตายเถอะ พ่อพระ ท่านตัดแขนเพื่อรักษาชีวิตเนี่ยนะ!” คนเป็นบัณฑิตเอ่ยถาม


จางฟู่กวานอดไม่ได้ทีจะหันไปมองเจ้าบ้านแปดอีกครั้ง ถึงแม้ว่าจะทราบว่าทางตัวตนของอีกฝ่ายแท้จริงแล้วเป็นแค่หนอนหนังสือ แต่ก็ดูจะตกอกตกใจกับการกระทำของทหารเหลือเกินจนเขาอยากจะหัวเราะออกมา
ความโหดร้ายทั้งหลายไม่ได้อยู่เพียงแค่ตัดแขนเพื่อรักษาชีวิต แต่มันอยู่ที่พวกตนต่อให้ตายยังไงก็ต้องปฏิบัติตามคำสั่งนายของตนให้สำเร็จ หรือพูดง่ายๆก็คือ ถ้าพ่อพระสั่งให้ใครในกองไปกระโดดหน้าผาตาย คนๆนั้นก็ต้องปฏิบัติอย่างเคร่งครัดเท่านั้นเอง


แต่จะว่าก็ว่าเถอะ ท่าทางขี้กลัวของอีกฝ่าย ทำให้เขาอยากจะเอามือไปลูบหัวเสียจริง กับการที่อีกฝ่ายนั้นปฏิบัติตัวราวกับเป็นกระต่ายขี้กลัวนี่...


“เปิดโลงได้” ผู้เป็นใหญ่แห่งฉางซาเอ่ย นั่นเองที่ทำให้ฟู่กวานต้องขานรับและสั่งการลงไปอีกที


“รับทราบ” ก่อนที่จะเอ่ยอีกครั้ง “เริ่มได้” สิ้นเสียง นายทหารที่ติดตั้งอุปกรณ์อยู่ก็ผละออกมาจากเจ้าสิ่งนั้น ปล่อยให้นายทหารในเสื้อเชิ้ตสีขาวเดินเข้าไปใกล้


ผู้ที่ได้รับเกียรติถูกเลือกมาให้เปิดกลไกนี้นั้นมีท่าทางหวาดกลัวไม่ใช่น้อย แต่กระนั้นด้วยความที่ว่าเป็นคนในสกุลจางเลยตัดสินใจเอื้อมมือเข้าไปภายในโลงนั้น พร้อมกับทำการควานหากลที่ถูกซ่อนไว้ แต่ดูเหมือนว่าจะโชคไม่ดีนัก
เพราะเหมือนเจ้าตัวจะคลำไปเจออะไรบางอย่างเข้า ที่ทำให้ถึงกับหลุดโวยวายว่า “ช่วยข้าด้วย” ออกมา และนั่นเองที่ทำให้นายฆ้องตีเข้าฆ้องเข้าอย่างรุนแรง


“อย่าเพิ่ง” เสียงเอ่ยห้ามจากนายใหญ่ดังขึ้นแต่ดูเหมือนว่าจะไม่ทันซะแล้ว เพราะทันทีที่เสียงสัญญาณดังขึ้นนั้นเจ้าม้าตัวเก่งก็วิ่งออกไป ทำให้กรรไกรผีเสื้อตัดแขนนายทหารผู้นั้นไปเรียบร้อยแล้ว


เสียงโอดครวญด้วยความเจ็บปวดดังขึ้นมาพร้อมกับการทรุดตัวลงของร่างนั้น นายใหญ่เป็นคนเดินไปดึงร่างนั้นให้ลุกขึ้นมา ก่อนที่จะมีนายทหารมารับชายคนนั้นไปรักษา


“รีบพาไปหาแพทย์สนาม” รองผู้การสั่ง นั่นเองที่ทำให้เกิดเสียงฝีเท้าวุ่นวายในบริเวณนั้น ก่อนที่เจ้าตัวจะหมุนตัวตามพ่อพระมายืนหน้าโลงเจ้าปัญหา


สีหน้าของฝอเหยียมีความเคร่งเครียดขึ้น แต่กระนั้นความกล้าในตัวก็ไม่ได้ลดลงแม้แต่น้อย ความชุลมุนชั่วคราวทำให้ปาเหยียไม่กล้าเดินเข้ามา จนกระทั่งเห็นทั้งสองคนอยู่บริเวณด้านหน้านั่นเองจึงเดินตามมา


เมื่อเห็นว่าจางฉี่ซานถอดถุงมือและยื่นไปทางรองผู้การของตัวเองนั้น เจ้าบ้านแปดก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยทักท้วง


“เอ๋ พ่อพระ ทะทะทะทะท่านจะทำอะไรน่ะ เอ้ยยย” แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ทันซะแล้ว เมื่อนายทหารใหญ่ได้ทำการล้วงมือเข้าไปในโลงศพซะเอง


การกระทำอันอุกอาจนี้ทำให้ทั้งจางฟู่กวานและฉีเถียจุ่ยต้องหันมามองหน้ากันอย่างรู้สึกกังวลใจไม่ได้ ซึ่งพ่อพระก็ไม่ได้เสียเวลานานนัก เพราะเพียงเวลาในช่วงอึดใจก็สามารถหากลไลนั่นเจอและเปิดมันออกจากง่ายดาย


ทันทีที่สามารถเปิดมันออกได้นั้น นายทหารทั้งหลายก็รีบเข้ามายกฝาโลงออก เพื่อให้นายของตนสำรวจสิ่งที่อยู่ด้านในได้อย่างสะดวกทันที


แขนที่ถูกตัดถูกวางอยู่ด้านบนราวกับมีอะไรมาจับวางให้เป็นเช่นนั้น แต่ผู้มองดูก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจอะไร เพียงแค่หยิบแขนท่อนยาวนั้นมาแล้วออกคำสั่ง “นำแขนนี่ไปต่อคืน”


“ครับ” รองผู้การรับมาและส่งต่อให้นายทหารที่ยืนอยู่ใกล้ๆทันที มีเพียงเจ้าบ้านแปดเท่านั้นที่ไม่กล้าดูภาพอันหน้าสยดสยองตรงหน้า


ถุงมือสีดำถูกยื่นคืนเจ้าของ ก่อนที่จะถูกสวมเข้ากับตำแหน่งเดิมของมัน “โลงศพนี้ ไม่ได้มีกับดักอะไร นายทหารนั่นคงกลัวจนเกินไป..” จางฉี่ซานเอ่ย “แขนของเขาถูกตัดอยู่ในนี้ ทำให้เขาต้องเสียมันไป” พูดจบก็เริ่มทำการสำรวจสิ่งที่อยู่ด้านใต้กองเสื้อแปลกๆนั่นทันที


“เอ๊ะ ฝอเหยีย” เจ้าบ้านแปดเรียก ท่าทางหวาดกลัวเมื่อครู่หายไปจนทำให้รองผู้การอดไม่ได้ที่จะมองอย่างสนใจ ว่าในครั้งนี้นั้น คนตรงหน้าจะมาพูดอะไรที่เป็นหลักการแปลกๆอีกหรือไม่ “ศพนี้ เหมือนกับศพอื่นๆบนรถไฟ..” คำพูดที่ทำให้นายทหารทั้งสองต้องสังเกตตาม “นอนคว่ำหน้า หรือว่านี่จะเป็นลักษณะการบรรจุศพแบบฉางซา? ของพวกตระกูลใหญ่ๆในอดีต”


คำพูดนั้นยังไม่ได้ทำให้คนถูกเรียกสนใจ นายทหารใหญ่เพียงไล้มือไปตามเนื้อผ้าของร่างไร้วิญญาณไปเรื่อยๆ


“ข้าไปเข้าใจเลยจริงๆ กลับไปคงต้องไปพลิกตำราดูหน่อย” หลังจากจบคำนั้นเอง ก็เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่นายทหารใหญ่พบเจอแหวนวงหนึ่งเข้า นิ้วเรียวยาวหยิบมันขึ้นมามอง นั่นเองที่ทำให้คนที่อยู่ข้างๆอย่างรองผู้การต้องมองตาม
เมื่อจุดสนใจทุกคนอยู่ที่แหวนนั้น ปาเหยียก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมองและวิ่งไปแย่งมันมาจากมือเจ้าบ้านหนึ่งเพื่อสังเกตดู


“ให้ฉันดูหน่อยสิ พ่อพระ” เมื่อรับมาดูแล้วก็ทำการหมุนเอียงซ้ายเอียงขวาไปมา “ทำไมเจ้าสิ่งนี้นั้น ช่างดูคุ้นตา...นี่น่าจะเป็นสมบัติของราชวงศ์เหนือใต้” คำพูดที่ดูเชื่อถือได้หลุดออกมา ทำให้รองผู้การที่สังเกตแหวนอยู่นั้นอดไม่ได้ที่จะเลื่อนสายตามามองหน้าคนพูดแทน


“เก้าตระกูลใหญ่แห่งฉางซา...คนที่รู้เรื่องราชวงศ์เหนือใต้มากที่สุด ไม่ใช่ตระกูลเอ้อร์เหยียงั้นหรอ?” บัณฑิตหนุ่มหันมาถาม


“เอ้อร์เหยีย? ท่านเอ้อร์เย่ว์หง?” รองผู้การเป็นฝ่ายถามแทน


“ใช่แล้ว” ตอบพลางพยักหน้าให้เบาๆ นั่นเองที่ทำให้ผู้ที่อยู่กลางวงสนทนานั้นมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้น


“คงได้เวลาที่จะไปพบเอ้อร์เหยียซะหน่อยแล้ว..เพื่อที่จะได้ทราบว่าเจ้าสิ่งนี้คืออะไร” ทันทีที่ฝอเหยียพูดจบ แหวนวงนั้นก็ถูกส่งคืนให้คนที่พบเจอมันทันที ซึ่งจางฉี่ซานก็เพียงรับมันมาไว้ในมือและมองมันอีกครั้งเพียงเท่านั้น


.


.


.




คำสั่งการไปพบเอ้อร์เหยียถูกส่งลงมา ทำให้นายทหารชั้นผู้น้อยต้องไปตระเตรียมรถ


“ท่านไม่ไปด้วยกันหรือ?” รองผู้การเอ่ยถามเจ้าบ้านแปดที่ตัดสินใจที่จะกลับไปยังบ้านของตนแทนโรงงิ้วชื่อดังของเมือง


“ไม่ล่ะ ข้าไม่ค่อยสันทัดกับเรื่องนี้เท่าไหร่นัก” บัณฑิตหนุ่มตอบพลางส่ายหน้า “อีกอย่างข้าคิดว่าข้าจะกลับบ้านไปพลิกตำราดู..”


“แค่นี้หนังสือในท้องท่านยังมีไม่มากพอหรือ?” นายทหารหนุ่มเอ่ยยียวน นั่นเองที่ทำให้คนถูกแซวหันมาค้อนขวับ


“เจ้าก็ไปทำงานตามที่เจ้านายเจ้าสั่งเถิด การแสดงของเอ้อร์เหยียไม่ใช่การแสดงที่คนปกติทั่วไปจะได้รับชมบ่อยๆ การที่เจ้าได้ติดตามพ่อพระไปก็ถือว่าเป็นโชคดียิ่งนัก!” พูดจบก็หมุนตัวไปอีกทาง ซึ่งจางฟู่กวานก็เพียงยิ้มบางๆตามแผ่นหลังอีกฝ่ายไปเท่านั้น



คนอะไร..แกล้งนิดแกล้งหน่อยก็โกรธซะแล้ว





-------------------------------------------2BC----------------------------------------------


 บทนี้ช่างเรื่อยๆ เอื่อยๆและไม่มีอะไรเลยค่ะ ค่อนข้างจะตึงเครียด ๕๕๕๕๕๕ 
พยายามแล้ววววว พยายามแล้ว ที่จะมองข้ามจุดที่น่างสงสัยในซีรี่ย์จนต้องปิดการแต่งไปชั่วคราว แล้วมาแต่งใหม่แบบไม่คิดอะไร ๕๕๕๕
เจอกันตอนหน้านะคะ เผื่อจะมีอะไรเยอะกว่านี้ <3 

ไม่มีแท็กให้เล่นเลยไม่รู้จะตามคอมเม้นท์จากไหนเลยค่ะ ก็ถ้าไม่อะไรก็มากรีดร้องกันในเมนชั่นได้นะคะยินดีค่ะ <3<3<3