Since Then -01-
Pairing : จางฟู่กวาน X ฉีเถียจุ่ย
Note : ติดซีรีย์และกาวคู่นี้มากมายเลยข่ะ ดำเนินเนื้อเรื่องของคู่นี้ตามซีรีย์เก้าสกุลนะคะ แต่เฉพาะคู่นี้ค่ะ ของพ่อพระไม่ตรงแน่ๆ ๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕
ชื่อตัวละครได้มาจากแท็กในทวิตนะคะ
ชื่อรองผู้การเราให้เครดิตแด่คุณ @kirahime_iero (https://twitter.com/kirahime_iero/status/751349426333949953) เต็มๆเลยค่ะ ขออนุญาตมาไว้นะที่นี้ด้วยนะคะ
ป.ล. กาวเต็มเรื่องมากมายเลยค่ะ....
E.P. 00
เนื้อหาเกี่ยวกับ ชาย X ชาย นะคะ ถ้าไม่ชอบแนะนำให้กดออกไปเลยค่ะ
--------------------------------------------------------------------------------
บรรยากาศอันมืดมัวแถมยังดูวังเวงประหนึ่งอยู่ในสุสานนั้น
ไม่ได้ทำให้รองผู้การจางเกิดความกลัวขึ้นแต่ประการใด อาจจะเป็นเพราะคุ้นชินกับการติดตามผู้เป็นนายไปไหนมาไหนตลอดเวลา
ทั้งเวลาลงดินก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เคยเจอเรื่องประหลาดอะไร
แม้รอบกายจะเต็มไปด้วยซากศพมากมาย แต่กระนั้นเจ้าของก้าวเดินก็ยังคงเดินด้วยฝีเท้าและน้ำหนักที่ลงอย่างสม่ำเสมอสมกับที่เป็นทหาร
จนกระทั่งถึงจุดที่เจ้าบ้านแปดและเจ้านายของตนกำลังยืนคุยกันอยู่ ตนก็โผล่เข้าไปพร้อมกับหน้ากากกันอากาศพิษสองอันทันที
แม้จะไม่ได้ร่วมวิเคราะห์โลงศพทั้งหลายนั้นกับหมอดู
แต่นายทหารก็พึงระลึกได้ว่าด้านในคงไม่ธรรมดา ดังนั้นจึงไปหยิบของมาไว้เผื่อต้องพบเจอกับอากาศพิษที่มักจะมาอยู่ในกลไกต่างๆเพื่อป้องกันสิ่งที่อยู่ในนั้น
“ผมหาหน้ากากกันพิษได้แค่สองอัน” รองผู้การเอ่ยบอก
พร้อมกับมองดูเจ้าสิ่งของในมือ ซึ่งพ่อพระใหญ่จางนั้นเพียงเปรยตามองและเอ่ยปาก
“พวกนายสองคนก็ใส่ซะ” กล่าวจบก็ทำท่าจะก้าวเข้าไปยังรถไฟขบวนสุดท้าย
“หา? นี่พ่อพระดูถูกกันใช่ไหมเนี่ย
ตู้ก่อนหน้านี้ฉันไม่ได้ใส่ แล้วทำไมตู้สุดท้ายทำไมฉันต้องใส่ด้วย” บัณฑิตหนุ่มโวยวาย
“มันไม่จำเป็นหรอกน่า”
คนฟังหันมองหน้ากันก่อนที่ผู้เป็นนายจะเอ่ยบอกกับนายทหารที่ถือของในหน้ากากกันพิษในมือ
“งั้นเราใส่กัน”
“ครับ” พูดจบก็ส่งหน้ากากให้เจ้านาย แต่กระนั้นเสียงโวยวายของเจ้าบ้านแปดก็ดังตามมา
“เอ๋ เอ๋ เอ๋? เดี๋ยวสิ
ฉันยังไม่ได้บอกเลยว่าจะไม่ใส่ ให้ตายสิพ่อพระ ทำไมท่านไม่เข้าใจคนที่จะเล่นมุกอะไรเลย”
“....” คนฟังไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่รับหน้ากากแล้วก้าวเดินต่อไปข้างหน้าเท่านั้น
“พ่อพระ” เจ้าบ้านแปดเรียกอีกครั้งเมื่อเห็นอีกฝ่ายเดินออกไปแล้ว
ก่อนที่นัยน์ตาคู่สวยจะตัดมามองผู้รองที่กำลังยืนมองหน้ากากกันพิษในมือตัวเองอยู่ แล้วคว้ามาซะเอง
“เอามานี่ ส่วนนายน่ะอยู่ตรงนี้แหละ ฉันจะเข้าไปกับพ่อพระเอง”
คนโดนสั่งอดไม่ได้ที่จะหันไปมองอีกฝ่าย และก็พบว่าหมอดูนั้นกำลังให้ความสำคัญกับหน้ากากกันพิษตรงหน้าก็เลยไม่ได้มองดูสายตาว่าถูกจ้องมองอย่างขบขันบางๆ
ก่อนที่รองผู้การจะหันไปทางด้านที่ผู้เป็นนายของตนเพิ่งเดินไป
.
.
.
.
กว่าที่ทหารทั้งหลายจะได้รับคำสั่งให้เข้าไปด้านในของขบวนรถไฟนั้น
พ่อพระใหญ่จางก็เจอกับสิ่งที่เรียกได้ว่าเป็นเบาะแสของเจ้ารถไฟปริศนาขบวนนี้
นายทหารหลายนายถูกส่งเข้าไปยังขบวนสุดท้าย รวมถึงจางฟู่กวานที่ยืนรออยู่บริเวณด้านทางเข้าขบวนสุดท้ายอีกด้วย
ศพหลายศพและโลงจำนวนมากถูกเปิดออกเพื่อสำรวจเจ้าสิ่งที่อยู่ข้างใน
ถึงแม้ว่าสภาพของมันจะดูน่ากลัวเพียงใด แต่กระนั้นก็ไม่ได้ทำให้นายทหารจากบ้านตระกูลจางทั้งหลายเกิดความตื่นกลัวขึ้นมาได้เลย
บรรดานายทหารทั้งหลายได้แต่ยืนมองผู้เป็นนายและเจ้าบ้านแปดสนทนากันเรื่องปริศนาของรถไฟนี้
จนกระทั่งได้ข้อสรุปว่า สิ่งที่น่าสงสัยที่สุดนั้นเป็นภาชนะบรรจุศพขนาดใหญ่ที่ถูกขนย้ายมาด้วย
เนื่องจากเป็นสิ่งที่ต้องใช้กลไกในการเปิด นั่นเองที่ทำให้ต้องขนย้ายเจ้าสิ่งนั้นไปยังบ้านตระกูลจาง
พรัอมกับการจัดเตรียมผู้ที่มีฝีมือในตระกูลมาทำการเปิดโลงศพนี้
ยามเมื่ออุปกรณ์ทั้งหลายถูกเข้าสู่กระบวนการติดตั้งบวกกับบรรยากาศแปลกๆที่รายล้อมไปด้วยโลงไม้จำนวนและนายทหารผู้ยืนอยู่อย่างเป็นระเบียบ
“เตรียมพร้อม” ฝอเหยียเอ่ยคำสั่ง ทำให้ผู้เป็นบัณฑิตที่ไม่เคยเห็นการกระทำแบบนี้ก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามขึ้นมา
“ฝอเหยีย ทหารประจำตระกูลของท่าน...”
“เขาจะทำได้ไหม?”
“เออ...ดูเขาสิ... รูปร่างกำยำ ใบหน้าคมคาย..”
คำพูดยกยอนั่นเองที่ทำให้รองผู้การถึงกับต้องหันไปมองคนพูดอย่างไม่เชื่อหู
“เขาต้องมีความสามารถมากแน่ บ้านสกุลจางแห่งฉางซา”
ซึ่งจางฟู่กวานก็ได้แต่ฟังแล้วก็มองอีกฝ่ายอย่างปลงตกเท่านั้น
คนอะไรช่างยกยอปอปั้นได้เก่งจริงๆ
ความคิดนั้นแฝงด้วยความไม่พอใจนิดๆโดยที่ไม่รู้ตัว
ก่อนที่จะหันไปมองเหล่าทหารที่กำลังยุ่งกับการเตรียมขึ้นตอนทั้งหลายอยู่
ยามที่กรรไกรผีเสื้อถูกง้างออก
นั่นก็ทำให้เจ้าบ้านแปดอดไม่ได้ที่จะรู้สึกสนใจขึ้นมา
“โอ้..ช่างไม่ธรรมดาเลยจริงๆ กรรไกรผีเสื้อนั้นถูกยึดไว้เหนือโลง..” ชี้ไปยังอุปกรณ์นั่นพลางเอ่ยถาม
“ท่านคงไม่ได้คิดที่จะ...”
“เชือกที่ขึงกับกรรไกรจะผูกกับตัวม้า
เมื่อมีสิ่งใดไม่ชอบมาพากลกับการเปิดนี้ นายทหารที่รับหน้าที่ตีฆ้องจะทำการตีฆ้อง
เพื่อเป็นสัญญาณทำให้ม้ากระตุกเชือกนั้นทันที ทำให้กรรไกรใบมีดหุบ
จะตัดแขนทหารนายนั้นอย่างรวดเร็ว เพื่อเป็นการรักษาชีวิตคนผู้นั้น” จางฟู่กวานอธิบายแทนผู้เป็นนาย
นั่นเองที่ทำให้คนที่เพิ่งเคยเจอเหตุการณ์แบบนี้ครั้งแรกนั้นอดไม่ได้ที่จะตกอกตกใจ
“ให้ตายเถอะ พ่อพระ ท่านตัดแขนเพื่อรักษาชีวิตเนี่ยนะ!”
คนเป็นบัณฑิตเอ่ยถาม
จางฟู่กวานอดไม่ได้ทีจะหันไปมองเจ้าบ้านแปดอีกครั้ง
ถึงแม้ว่าจะทราบว่าทางตัวตนของอีกฝ่ายแท้จริงแล้วเป็นแค่หนอนหนังสือ
แต่ก็ดูจะตกอกตกใจกับการกระทำของทหารเหลือเกินจนเขาอยากจะหัวเราะออกมา
ความโหดร้ายทั้งหลายไม่ได้อยู่เพียงแค่ตัดแขนเพื่อรักษาชีวิต
แต่มันอยู่ที่พวกตนต่อให้ตายยังไงก็ต้องปฏิบัติตามคำสั่งนายของตนให้สำเร็จ
หรือพูดง่ายๆก็คือ ถ้าพ่อพระสั่งให้ใครในกองไปกระโดดหน้าผาตาย
คนๆนั้นก็ต้องปฏิบัติอย่างเคร่งครัดเท่านั้นเอง
แต่จะว่าก็ว่าเถอะ ท่าทางขี้กลัวของอีกฝ่าย
ทำให้เขาอยากจะเอามือไปลูบหัวเสียจริง
กับการที่อีกฝ่ายนั้นปฏิบัติตัวราวกับเป็นกระต่ายขี้กลัวนี่...
“เปิดโลงได้” ผู้เป็นใหญ่แห่งฉางซาเอ่ย
นั่นเองที่ทำให้ฟู่กวานต้องขานรับและสั่งการลงไปอีกที
“รับทราบ” ก่อนที่จะเอ่ยอีกครั้ง “เริ่มได้” สิ้นเสียง
นายทหารที่ติดตั้งอุปกรณ์อยู่ก็ผละออกมาจากเจ้าสิ่งนั้น
ปล่อยให้นายทหารในเสื้อเชิ้ตสีขาวเดินเข้าไปใกล้
ผู้ที่ได้รับเกียรติถูกเลือกมาให้เปิดกลไกนี้นั้นมีท่าทางหวาดกลัวไม่ใช่น้อย
แต่กระนั้นด้วยความที่ว่าเป็นคนในสกุลจางเลยตัดสินใจเอื้อมมือเข้าไปภายในโลงนั้น
พร้อมกับทำการควานหากลที่ถูกซ่อนไว้ แต่ดูเหมือนว่าจะโชคไม่ดีนัก
เพราะเหมือนเจ้าตัวจะคลำไปเจออะไรบางอย่างเข้า
ที่ทำให้ถึงกับหลุดโวยวายว่า “ช่วยข้าด้วย” ออกมา
และนั่นเองที่ทำให้นายฆ้องตีเข้าฆ้องเข้าอย่างรุนแรง
“อย่าเพิ่ง”
เสียงเอ่ยห้ามจากนายใหญ่ดังขึ้นแต่ดูเหมือนว่าจะไม่ทันซะแล้ว เพราะทันทีที่เสียงสัญญาณดังขึ้นนั้นเจ้าม้าตัวเก่งก็วิ่งออกไป
ทำให้กรรไกรผีเสื้อตัดแขนนายทหารผู้นั้นไปเรียบร้อยแล้ว
เสียงโอดครวญด้วยความเจ็บปวดดังขึ้นมาพร้อมกับการทรุดตัวลงของร่างนั้น
นายใหญ่เป็นคนเดินไปดึงร่างนั้นให้ลุกขึ้นมา ก่อนที่จะมีนายทหารมารับชายคนนั้นไปรักษา
“รีบพาไปหาแพทย์สนาม” รองผู้การสั่ง
นั่นเองที่ทำให้เกิดเสียงฝีเท้าวุ่นวายในบริเวณนั้น
ก่อนที่เจ้าตัวจะหมุนตัวตามพ่อพระมายืนหน้าโลงเจ้าปัญหา
สีหน้าของฝอเหยียมีความเคร่งเครียดขึ้น
แต่กระนั้นความกล้าในตัวก็ไม่ได้ลดลงแม้แต่น้อย
ความชุลมุนชั่วคราวทำให้ปาเหยียไม่กล้าเดินเข้ามา
จนกระทั่งเห็นทั้งสองคนอยู่บริเวณด้านหน้านั่นเองจึงเดินตามมา
เมื่อเห็นว่าจางฉี่ซานถอดถุงมือและยื่นไปทางรองผู้การของตัวเองนั้น
เจ้าบ้านแปดก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยทักท้วง
“เอ๋ พ่อพระ ทะทะทะทะท่านจะทำอะไรน่ะ เอ้ยยย”
แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ทันซะแล้ว เมื่อนายทหารใหญ่ได้ทำการล้วงมือเข้าไปในโลงศพซะเอง
การกระทำอันอุกอาจนี้ทำให้ทั้งจางฟู่กวานและฉีเถียจุ่ยต้องหันมามองหน้ากันอย่างรู้สึกกังวลใจไม่ได้
ซึ่งพ่อพระก็ไม่ได้เสียเวลานานนัก เพราะเพียงเวลาในช่วงอึดใจก็สามารถหากลไลนั่นเจอและเปิดมันออกจากง่ายดาย
ทันทีที่สามารถเปิดมันออกได้นั้น
นายทหารทั้งหลายก็รีบเข้ามายกฝาโลงออก
เพื่อให้นายของตนสำรวจสิ่งที่อยู่ด้านในได้อย่างสะดวกทันที
แขนที่ถูกตัดถูกวางอยู่ด้านบนราวกับมีอะไรมาจับวางให้เป็นเช่นนั้น
แต่ผู้มองดูก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจอะไร เพียงแค่หยิบแขนท่อนยาวนั้นมาแล้วออกคำสั่ง “นำแขนนี่ไปต่อคืน”
“ครับ” รองผู้การรับมาและส่งต่อให้นายทหารที่ยืนอยู่ใกล้ๆทันที
มีเพียงเจ้าบ้านแปดเท่านั้นที่ไม่กล้าดูภาพอันหน้าสยดสยองตรงหน้า
ถุงมือสีดำถูกยื่นคืนเจ้าของ ก่อนที่จะถูกสวมเข้ากับตำแหน่งเดิมของมัน
“โลงศพนี้ ไม่ได้มีกับดักอะไร นายทหารนั่นคงกลัวจนเกินไป..” จางฉี่ซานเอ่ย “แขนของเขาถูกตัดอยู่ในนี้
ทำให้เขาต้องเสียมันไป” พูดจบก็เริ่มทำการสำรวจสิ่งที่อยู่ด้านใต้กองเสื้อแปลกๆนั่นทันที
“เอ๊ะ ฝอเหยีย” เจ้าบ้านแปดเรียก
ท่าทางหวาดกลัวเมื่อครู่หายไปจนทำให้รองผู้การอดไม่ได้ที่จะมองอย่างสนใจ
ว่าในครั้งนี้นั้น คนตรงหน้าจะมาพูดอะไรที่เป็นหลักการแปลกๆอีกหรือไม่ “ศพนี้
เหมือนกับศพอื่นๆบนรถไฟ..” คำพูดที่ทำให้นายทหารทั้งสองต้องสังเกตตาม “นอนคว่ำหน้า
หรือว่านี่จะเป็นลักษณะการบรรจุศพแบบฉางซา? ของพวกตระกูลใหญ่ๆในอดีต”
คำพูดนั้นยังไม่ได้ทำให้คนถูกเรียกสนใจ
นายทหารใหญ่เพียงไล้มือไปตามเนื้อผ้าของร่างไร้วิญญาณไปเรื่อยๆ
“ข้าไปเข้าใจเลยจริงๆ กลับไปคงต้องไปพลิกตำราดูหน่อย”
หลังจากจบคำนั้นเอง ก็เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่นายทหารใหญ่พบเจอแหวนวงหนึ่งเข้า
นิ้วเรียวยาวหยิบมันขึ้นมามอง
นั่นเองที่ทำให้คนที่อยู่ข้างๆอย่างรองผู้การต้องมองตาม
เมื่อจุดสนใจทุกคนอยู่ที่แหวนนั้น
ปาเหยียก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมองและวิ่งไปแย่งมันมาจากมือเจ้าบ้านหนึ่งเพื่อสังเกตดู
“ให้ฉันดูหน่อยสิ พ่อพระ”
เมื่อรับมาดูแล้วก็ทำการหมุนเอียงซ้ายเอียงขวาไปมา “ทำไมเจ้าสิ่งนี้นั้น
ช่างดูคุ้นตา...นี่น่าจะเป็นสมบัติของราชวงศ์เหนือใต้”
คำพูดที่ดูเชื่อถือได้หลุดออกมา
ทำให้รองผู้การที่สังเกตแหวนอยู่นั้นอดไม่ได้ที่จะเลื่อนสายตามามองหน้าคนพูดแทน
“เก้าตระกูลใหญ่แห่งฉางซา...คนที่รู้เรื่องราชวงศ์เหนือใต้มากที่สุด
ไม่ใช่ตระกูลเอ้อร์เหยียงั้นหรอ?” บัณฑิตหนุ่มหันมาถาม
“เอ้อร์เหยีย? ท่านเอ้อร์เย่ว์หง?” รองผู้การเป็นฝ่ายถามแทน
“ใช่แล้ว” ตอบพลางพยักหน้าให้เบาๆ
นั่นเองที่ทำให้ผู้ที่อยู่กลางวงสนทนานั้นมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้น
“คงได้เวลาที่จะไปพบเอ้อร์เหยียซะหน่อยแล้ว..เพื่อที่จะได้ทราบว่าเจ้าสิ่งนี้คืออะไร”
ทันทีที่ฝอเหยียพูดจบ แหวนวงนั้นก็ถูกส่งคืนให้คนที่พบเจอมันทันที
ซึ่งจางฉี่ซานก็เพียงรับมันมาไว้ในมือและมองมันอีกครั้งเพียงเท่านั้น
.
.
.
คำสั่งการไปพบเอ้อร์เหยียถูกส่งลงมา
ทำให้นายทหารชั้นผู้น้อยต้องไปตระเตรียมรถ
“ท่านไม่ไปด้วยกันหรือ?”
รองผู้การเอ่ยถามเจ้าบ้านแปดที่ตัดสินใจที่จะกลับไปยังบ้านของตนแทนโรงงิ้วชื่อดังของเมือง
“ไม่ล่ะ ข้าไม่ค่อยสันทัดกับเรื่องนี้เท่าไหร่นัก”
บัณฑิตหนุ่มตอบพลางส่ายหน้า “อีกอย่างข้าคิดว่าข้าจะกลับบ้านไปพลิกตำราดู..”
“แค่นี้หนังสือในท้องท่านยังมีไม่มากพอหรือ?” นายทหารหนุ่มเอ่ยยียวน
นั่นเองที่ทำให้คนถูกแซวหันมาค้อนขวับ
“เจ้าก็ไปทำงานตามที่เจ้านายเจ้าสั่งเถิด
การแสดงของเอ้อร์เหยียไม่ใช่การแสดงที่คนปกติทั่วไปจะได้รับชมบ่อยๆ
การที่เจ้าได้ติดตามพ่อพระไปก็ถือว่าเป็นโชคดียิ่งนัก!” พูดจบก็หมุนตัวไปอีกทาง
ซึ่งจางฟู่กวานก็เพียงยิ้มบางๆตามแผ่นหลังอีกฝ่ายไปเท่านั้น
คนอะไร..แกล้งนิดแกล้งหน่อยก็โกรธซะแล้ว
-------------------------------------------2BC----------------------------------------------
บทนี้ช่างเรื่อยๆ เอื่อยๆและไม่มีอะไรเลยค่ะ ค่อนข้างจะตึงเครียด ๕๕๕๕๕๕
พยายามแล้ววววว พยายามแล้ว ที่จะมองข้ามจุดที่น่างสงสัยในซีรี่ย์จนต้องปิดการแต่งไปชั่วคราว แล้วมาแต่งใหม่แบบไม่คิดอะไร ๕๕๕๕
เจอกันตอนหน้านะคะ เผื่อจะมีอะไรเยอะกว่านี้ <3
ไม่มีแท็กให้เล่นเลยไม่รู้จะตามคอมเม้นท์จากไหนเลยค่ะ ก็ถ้าไม่อะไรก็มากรีดร้องกันในเมนชั่นได้นะคะยินดีค่ะ <3<3<3
มาแต่งต่อเถอะค่ะ ;;;A;;; ฟินจนจะเป็นลมแล้ว ฟินตั้งแต่ตอนแรกเลย เก็บทุกเม็ดจริงๆ เหมือนได้กลับไปดูซ้ำเลย555555555เหมือนในซีรี่ย์เป๊ะ เป๊ะ
ตอบลบฟู่กวานคนขี้แกล้ง เอะอะก็แกล้งปาเหยีย งี้แหละปาเหยียน่ารัก T v T
พี่จินอย่าลืมมาต่อนะคะ ชอบมากมากกกกกก <3